กองทัพบกไทย เป็นเหล่าทัพที่มีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดในกองทัพไทย ก่อตั้งเป็นกองทัพสมัยใหม่ขี้นในปี พ.ศ. 2417 เหตุผลส่วนหนึ่งคือ เพื่อรับมือกับการคุกคามรุกแบบใหม่จากอังกฤษ ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาวริ่ง และการเปิดประเทศใน พ.ศ. 2398
[แก้] ประวัติ
กองทัพบกได้ถือกำเนิดมาพร้อม ๆ กับการก่อตั้งราชอาณาจักรไทย และเป็นรากฐานของความมั่นคงของประเทศตลอดมา การปฏิรูปการทหารบกของไทยเป็นแบบตะวันตก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือต้นแบบของกิจการทหารบกสมัยปัจจุบัน
[แก้] กองบัญชาการกองทัพบก สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2394 กิจการแรกที่พระองค์ทรงกระทำ คือ ทรงตั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ว่าที่สมุหพระกลาโหมขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหม และให้จัดการเรื่องกิจการทหารเป็นการด่วน โดยให้ปรับปรุงกองทัพบกให้เป็นแบบสมัยใหม่ และมีประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันประเทศชาติได้ ทั้งนี้ เพราะประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกได้แผ่อิทธิพลเข้ามา อยู่เหนือประเทศทางภูมิภาคเอเซียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ และมีท่าทีคุกคามต่อประเทศไทยยิ่งขึ้นตามลำดับ สำหรับการปรับปรุงในด้านวิทยาการนั้น พระองค์ทรงจ้าง ร้อยเอก อิมเปย์ และ ร้อยเอก น็อกส์ ชาวอังกฤษ ซึ่งเดินทางจากอินเดียผ่านเข้ามาทางพม่า ให้เป็นครูฝึกหัดทหารบก ทั้งทหารของวังหน้าและวังหลวง ดังนั้นใน พ.ศ. 2395 กองทหารที่ได้รับการฝึกและจัดแบบตะวันตก มีดังนี้
- กองรักษาพระองค์อย่างยุโรป
- กองทหารหน้า
- กองปืนใหญ่อาสาญวน
กองทหารหน้าเป็นหน่วยที่ได้รับการฝึกแบบใหม่ มีอาวุธใหม่ และมีทหารประจำการมากกว่าทหารหน่วยอื่นๆ ทั้งยังมีความชำนาญในการรบมาพอสมควร เนื่องจากได้เข้าสมทบในกองทัพหลวงไปทำศึกที่เมืองเชียงตุง เมื่อปี พ.ศ. 2395 และ พ.ศ. 2396 การศึกทั้ง 2 ครั้งนี้ กองทหารหน้าได้สำแดงเกียรติภูมิในหน้าที่ของตนไว้อย่างน่าชมเชย จึงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก ยามปกติกองทหารหน้ามีหน้าที่เข้าขบวนแห่นำตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคราว นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองต่างๆ เช่น ปราบปรามพวกอั้งยี่ที่มณฑลปราจีน และเมืองชลบุรีอีกด้วย จึงนับได้ว่า “กองทหารหน้า” นี้เองเป็นรากเหง้าของกองทัพบกในปัจจุบันนี้
กิจการทหารบกได้รุดหน้าไปอีก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทหารหน้าใน พ.ศ. 2398 พระองค์ทรงรวบรวมกองทหารที่อยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วกรุงเทพฯ มารวมไว้ที่เดียวกัน คือโรงทหารสนามไชย กองทหารดังกล่าวคือ
- กองทหารฝึกแบบยุโรป (เดิมอยู่ริมคลองโอ่งอ่างฝั่งตะวันออก)
- กองทหารมหาดไทย (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ)
- กองทหารกลาโหม (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายใต้)
- กองทหารเกณฑ์หัด (คือพวกขุนหมื่นสิบยก กองทหารเกณฑ์หัดนี้ ขึ้นกับกองทหารหน้า)
จะเห็นได้ว่า การจัดการทหารบกแบบตะวันตกหรือกองทัพบกปัจจุบันนี้เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เป็นไปในวงแคบ อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ แยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ทหารที่สังกัดพระบรมมหาราชวังขึ้นโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารที่สังกัดพระบวรราชวัง หรือวังหน้า ขึ้นโดยตรงต่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารในหัวเมืองก็แยกขึ้นกับ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์มิได้แถลงพระบรมราโชบายในการจัดการทางทหารไว้เป็นที่เด่นชัด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสภาวการณ์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งวิธีการทางทหาร ตลอดจนพระปรีชาญาณในการบริหารประเทศแล้วอาจพิจารณาได้ว่า พระองค์น่าจะทรงมีพระราชประสงค์ในการจัดการทางทหารเป็น 2 ประการ คือ
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความเจริญทางด้านการทหารเอง และให้เหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนสามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ
เนื่องจาการทหารในสมัยนั้นยังเป็นไปในลักษณะกระจัดกระจาย อยู่ในสังกัดอำนาจของบุคคลหลายฝ่าย จึงทำให้การปฏิรูปการทหารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกมีขอบเขตจำกัด ต่อมาใน พ.ศ. 2415 ภายหลังจากการเสด็จไปประพาสสิงคโปร์และปัตตาเวียแล้ว พระองค์โปรดให้ปรับปรุงการทหารให้กาวหน้ายิ่งขึ้น โดยนำแบบอย่างการทหารที่ชาวยุโรปนำมาฝึกทหารในอาณานิคมของตน แต่ได้ดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย โปรดให้แบ่งหน่วยทหารออกเป็น 7 หน่วย ดังนี้
- กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
- กรมทหารรักษาพระองค์
- กรมทหารล้อมวัง
- กรมทหารหน้า
- กรมทหารปืนใหญ่
- กรมทหารช้าง
- กรมทหารฝีพาย
พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหารือกับพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจัดการทหารอย่างใหม่เป็นระเบียบแบบแผนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2430 จึงได้มี “ประกาศจัดการทหาร” ขึ้น โดยตั้ง “กรมยุทธนาธิการ” มีลักษณะเป็นกรมกลางของทหารบก และทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศตำแหน่ง “จอมทัพ” สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็น “ผู้บังคับบัญชาการทั่วไป” และเพื่อให้หน่วยทหารได้รับการบังคับบัญชาดูแลได้ทั่วถึง จึงทรงแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาทั่วไปอีก 4 ตำแหน่ง คือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการใช้จ่าย
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ ประเทศอังกฤษ ทั้งยังทรงรับราชการในกรมทหารราบเบาเดอรัม และค่ายฝึกทหารปืนใหญ่ นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากต่างประเทศโดยเฉพาะ เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงทรงปรับปรุงกิจการทหารบกให้ดียิ่งขึ้น และเจริญก้าวหน้าตามแบบอย่างทหารในทวีปยุโรป พระองค์ทรงให้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารกิจการทหารใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 โดย
- เปลี่ยนชื่อกรมยุทธนาธิการ เป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารบก
- ยกกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ
- จัดตั้งสภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทหารเรือ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทหารบกโดยอาชีพ กล่าวคือ ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากวิทยาลัยการทหารวูลลิช ประเทศอังกฤษ และวิชาเสนาธิการทหาร จากโรงเรียนเสนาธิการฝรั่งเศส พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำนุบำรุงกิจการทหารบกให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการขากแคลนงบประมาณแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องตัดทอนรายจ่าย และส่งผลกระทบมาถึงกิจการทหารในสมัยของพระองค์ด้วย มีการยุบกรมกองและปลดข้าราชการตำแหน่งต่างๆ ลง ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกระทรวงทหารเรือ รวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาการทหาร 3 ฝ่าย คือ ทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ ปัญหาและผลสะท้อนจาการตัดทอนรายจ่ายในราชการทหารนี้เองเป็นสาเหตุนำไปสู่ความยุ่งยากทางการเมือง
[แก้] กองบัญชาการกองทัพบก หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่เคยดำรงตำแหน่งชั้นสูงในกองทัพบก ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งจนหมด และได้มีการบรรจุบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทน โดยมี นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ อย่างไรก็ตามงานในหน้าที่ผู้บังคับบัญชาทหารบกกลับอยู่ในมือของ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เนื่องจากมีความสามารถและความเชี่ยวชาญทางวิชาการทหารสูง จึงมีบทบาทในการจัดราชการทหารอยู่ระยะหนึ่ง ในเดือนกันยายน ปี 2476 พระยาทรงสุรเดช ได้ก่อความไม่สงบขึ้น โดยมั่นหมายที่จะเปลี่ยนแปลงบุคคลในระดับสูง ทั้งทางด้านการทหารและพลเรือนเสียใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้น ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร ด้วยการนำกำลังกองทัพบกส่วนใหญ่ขึ้นไปอยู่ทางภาคเหนือ แล้วจัดตั้งเป็นกองทัพพายัพขึ้น กับได้วางแผนการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปอยู่เพชรบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยให้พ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่น และในขณะเดียวกัน ก็พยายามรักษากำลังทัพของไทยมิให้กองทัพญี่ปุ่นปลดอาวุธ แผนการนี้เป็นแผนที่จะใช้พื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นป้อมปราการต่อสู้ตายกับศัตรู เมื่อภัยสงครามได้ทวีความรุนแรงขึ้นใน พ.ศ. 2486 กองบัญชาการกองทัพบกสนามได้อพยพส่วนหนึ่งจากกรุงเทพฯ ไปตั้งที่ ตำบลวังรุ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามแผนการย้ายเมืองหลวงดังกล่าว
กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีที่ตั้งอยู่ภายในกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังมีกองบัญชาการอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่หอประชุมกองทัพบก และบริเวณสวนรื่นฤดีเขตดุสิต กล่าวคือ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและแต่งตั้งให้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร มีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ โดยใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการฝ่ายทหาร ต่อมาในเดือนกันยายน เมื่อคณะทหารภายใต้การนำของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้พร้อมใจกันยึดอำนาจจากรัฐบาล (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้ใช้หอประชุมกองทัพ เป็นกองบัญชาการผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร แต่ได้ปิดลงในระยะเวลาอันสั้น แล้วตั้งเป็น กองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 ขึ้นแทน ต่อมาใน พ.ศ. 2503 ได้ใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 อีกครั้ง เมื่อสถานการณ์ตามแนวพรหมแดนมีปัญหาขัดแย้งบางประการ อันจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย และใน พ.ศ. 2506 จอมพล ประภาส จารุเสถียร รองผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ให้เปลี่ยนชื่อกองบัญชาการกองทัพบกส่วนที่ 2 เป็นศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและใช้เรียกชื่อนี้เรื่อยมาจนปัจจุบัน แม้ว่าศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจะย้ายมาตั้ง ณ สวนรื่นฤดี ถนนสุโขทัย เขตดุสิต ก็ตาม
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ปัจจุบันเป็นหน่วยเฉพาะกิจ ประกอบด้วย สำนักงานผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการต่างๆ มีภารกิจในการวางแผน อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ และกำกับดูแลหน่วยรองของกองทัพบก และกำลังรบเฉพาะกิจในการปฏิบัติเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงของรัฐในทุกรูปแบบ
[แก้] กองบัญชาการกองทัพบก สมัยปัจจุบัน
พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พิจารณาเห็นว่า กองทัพบกเป็นสถาบันหลักสถานบันหนึ่งของประเทศ มีภารกิจในการรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ ตลอดจนเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ยังไม่มีกองบัญชาการเป็นสัดส่วนของตนเองเช่นเหล่าทัพอื่น ทั้งยังได้อาศัยอาคารและสถานที่ของกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย สถานที่ดังกล่าวนอกจากจะคับแคบ ไม่เป็นเอกเทศกับตนเองแล้ว ยังไม่สมเกียรติและศักดิ์ศรีของกองทัพบกอีกด้วย ดังนั้น ผู้บัญชาการทหารบกจึงได้สั่งการให้พิจารณาหาสถานที่ก่อสร้าง “กองบัญชาการกองทัพบก” แห่งใหม่ ในระยะแรกได้พิจารณาเห็นว่า สถานที่บริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์บางเขน มีพื้นที่เพียงพอ การคมนาคมสะดวก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากติดขัดทางด้านงบประมาณ
ครั้นเมื่อโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ย้ายไปอยู่ ณ เขาชะโงก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก กองทัพบกพิจารณาเห็นว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเดิม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ที่มีความสง่างาม มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่กับกองทัพบก นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวก เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร และเป็นเส้นทางผ่านของแขกบ้านแขกเมือง หากกองทัพบกใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นกองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีความเหมาะสมอย่างยิ่งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังเป็นการประหยัดงบประมาณของกองทัพบกและประเทศชาติได้อีกเป็นจำนวนมาก ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้สั่งการให้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็น กองบัญชาการกองทัพบก และได้กระทำพิธีเปิดที่ทำการของกองบัญชาการกองทัพบกครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2529 สำหรับการกำหนดสถานที่ของหน่วยงานต่างๆ ภายในกองบัญชาการกองทัพบกในครั้งนั้น ได้กำหนดให้อาคารซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของส่วนราชการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม (ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน) เป็นที่ตั้งของกรมฝ่ายเสนาธิการ ส่วนอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของส่วนการศึกษาเดิม (ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นที่ตั้งของสำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก และกรมการเงินทหารบก
ต่อมาสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอใช้ที่ดินบริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม เพื่อขยายสถานที่ทำงานของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2530 อนุมัติหลักการให้สำนักนายกรัฐมนตรีใช้ที่ดินและอาคารสถานที่บริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม และอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กองทัพบกในการก่อสร้างอาคาร “กองบัญชาการกองทัพบก” แห่งใหม่ บริเวณส่วนบัญชาการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม คณะกรรมการโครงการก่อสร้างกองบัญชาการกองทัพบก จึงได้พิจารณาออกแบบอาคารขนาดใหญ่ที่ทันสมัย เพื่อเป็นศูนย์รวมในการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และฝ่ายเสนาธิการต่างๆ ของกองทัพบก ให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิธีวางศิลาฤกษ์กองบัญชาการกองทัพบกแห่งใหม่นี้ได้กำหนดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2531 ระหว่างเวลา 08.49 – 09.29 นาฬิกา โดยมี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก รักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธี
สำหรับหน่วยที่ใช้สถานที่ภายในอาคาร “กองบัญชาการกองทัพบก” ปัจจุบันประกอบด้วย
- อาคารส่วนที่ 1
- สำนักงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูง
- กรมยุทธการทหารบก
- กรมข่าวทหารบก
- กรมกำลังพลทหารบก
- กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก
- กรมกิจการพลเรือนทหารบก
- ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
- อาคารส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3
- ประชาสัมพันธ์ หน่วยตรวจโรค ร้านสวัสดิการ ห้องจัดเลี้ยง ห้องเตรียมอาหาร ห้องอาหารนายทหารชั้นสัญญาบัตรและนายทหารชั้นประทวน ห้องประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก หน่วยสื่อสาร ห้องสมุด
- สำนักงานที่ปรึกษา ทบ.
- ศูนย์เทคโนโลยีทางทหารกองทัพบก
- กรมสารบรรณทหารบก
- อาคารส่วนที่ 4
- สำนักงานเลขานุการกองทัพบก
- กรมการเงินทหารบก
- ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย บก.ทบ.
- อาคารส่วนที่ 5
- อาคารจอดรถสูง 9 ชั้น
[แก้] ภารกิจกองทัพบก
ทหารบกขณะเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ 2000 ที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 2543
พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา14 กำหนดอำนาจและหน้าที่กระทรวงกลาโหมและหน้าที่ของกองทัพบกไว้ว่า “กองทัพบกมีหน้าที่เตรียมกำลังทางบก และป้องกันราชอาณาจักร มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ”
[แก้] การแบ่งเหล่า
กองทัพบกไทย มีการแบ่งเหล่าทหารบก ออกเป็นเหล่าต่างๆ ดังต่อไปนี้
[แก้] เหล่ารบ
เหล่ารบ เป็นเหล่าหลักที่ใช้ในการรบ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หลักในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารราบ (ร.) เป็นกำลังรบหลักของกองทัพบกไทย มีกำลังพลมากที่สุด มีหน้าที่เข้ารักษาพื้นที่
- ทหารม้า (ม.) แบ่งออกเป็นสามแบบคือ
- ทหารม้าลาดตระเวณ
- ทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ยานสายพาน หรือยานหุ้มเกราะเป็นพาหนะในการรบ
- ทหารม้ารถถัง ใช้รถถังเป็นอาวุธหลัก ในการปฏิบัติการรบ
[แก้] เหล่าสนับสนุนการรบ
เหล่าสนับสนุนการรบ เป็นฝ่ายสนุบสนุนการรบ โดยมากมักปฏิบัติงานควบคู่กับหน่วยรบในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารปืนใหญ่ (ป.) ใช้ปืนใหญ่ ในการยิงสนับสนุนให้กับหน่วยกำลังรบ
- ทหารช่าง (ช.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานช่าง ก่อสร้าง ซ่อม หรือทำลาย สิ่งก่อสร้างต่างๆ
- ทหารสื่อสาร (สส.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานสื่อสาร
- ทหารการข่าว (ขว.)
[แก้] เหล่าช่วยรบ
เหล่าช่วยรบ เป็นฝ่ายส่งกำลังหรือสิ่งอุปรณ์ช่วยเหลือการรบ โดยมากปฏิบัติงานแนวหลังในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารสรรพาวุธ (สพ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด ตลอดจนยานพาหนะในการรบ
- ทหารพลาธิการ (พธ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาหาร เครื่องแต่งกาย เชื้อเพลิง ยุทธภัณฑ์ส่วนบุคคล
- ทหารแพทย์ (พ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ในกลุ่มเวชภัณฑ์ และสิ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเป็นฝ่ายรักษาพยาบาลให้กับทหารและครอบครัวทหาร
- ทหารขนส่ง (ขส.) เป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งกำลังพล และสิ่งอุปกรณ์
[แก้] เหล่าสนับสนุนการช่วยรบ
นอกจากนี้ยังมีหน่วยอื่นๆ ที่มิได้เป็นหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง ประกอบด้วย
- ทหารสารบรรณ (สบ.) มีหน้าที่ดำเนินการด้านธุรการ เอกสาร ทะเบียนประวัติ และงานสัสดี
- ทหารการเงิน (กง.) ปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชี งบประมาน และการเบิกจ่ายงบประมาน
- ทหารพระธรรมนูญ (ธน.) ดำเนินการด้านกฎหมาย การศาลทหาร และงานทนายทหาร
- ทหารแผนที่ (ผท.) มีหน้าที่สำรวจและจัดทำ แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ
- ทหารการสัตว์ (กส.) มีหน้าที่ดูแลสัตว์ในราชการกองทัพ
- ทหารดุริยางค์ (ดย.) มีหน้าที่ให้ความบันเทิง
- สารวัตรทหาร (สห.) มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและระเบียบวินัยของทหาร
[แก้] การจัดส่วนราชการ
กองทัพบก แบ่งส่วนราชการเป็น 7 ส่วนดังนี้ [1]
- 1.ส่วนบัญชาการ*
- 2.ส่วนกำลังรบ*
- 3.ส่วนสนับสนุนการรบ*
- 4.ส่วนส่งกำลังบำรุง*
- 5.ส่วนภูมิภาค*
- 6.ส่วนการศึกษา*
- 7.ส่วนช่วยพัฒนาประเทศ*
[แก้] ส่วนบัญชาการ
[แก้] ส่วนบัญชาการ (ฝ่ายเสนาธิการ)
- สำนักงานเลขานุการกองทัพบก (สลก.ทบ.)
- กรมกำลังพลทหารบก (กพ.ทบ.)
- กรมข่าวทหารบก (ขว.ทบ.)
- กรมยุทธการทหารบก (ยก.ทบ.)
- กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก (กบ.ทบ.)
- กรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.)
- สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก (สปช.ทบ.)
[แก้] ส่วนบัญชาการ(ฝ่ายกิจการพิเศษ)
- กรมสารบรรณทหารบก (สบ.ทบ.)
- กรมการเงินทหารบก (กง.ทบ.)
- กรมการสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.)
- กรมจเรทหารบก (จบ.)
- กรมสวัสดิการทหารบก (สก.ทบ.)
- หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.)
- สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก (สวพ.ทบ.)
- สำนักงานตรวจสอบภายในทหารบก (สตน.ทบ.)
[แก้] ส่วนบัญชาการ (ฝ่ายยุทธบริการ)
- กรมการทหารช่าง (กช.)
- กรมสรรพวุธทหารบก (สพ.ทบ.)
- กรมแพทย์ทหารบก (พบ.)
- กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.)
- กรมพลาธิการทหารบก (พธ.ทบ.)
- กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.)
- กรมการสัตว์ทหารบก (กส.ทบ.)
- กรมการทหารสื่อสาร (สส.)
- กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก (วศ.ทบ.)
[แก้] ส่วนกำลังรบ
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ตั้งกองบัญชาการที่กรุงเทพมหานคร หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล พื้นที่ภาคกลางตั้งแต่จังหวัดลพบุรี ยาวไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) เป็นกองพลทหารราบยานเกราะ รับผิดชอบชายแดนด้านตะวันออก ชายแดนไทย-กัมพูชา และพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งหมด
- กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) รับผิดชอบชายแดนด้านตะวันตก ยาวไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
- กองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11) เป็นกองพลสำรอง
- กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ตั้งอยู่ที่ เขตพญาไท กรุงเทพฯ
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3) ดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครราชศรีมา ค่ายสุรนารี
- กองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6) ดูแลภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตั้งอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ค่ายสมเด็จพระพุทธโยดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
- กองพลทหารม้าที่ 3 (พล.ม.3)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถจังหวัดพิษณุโลก หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4) ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ตั้งอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก
- กองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เป็นกองพลใหม่ ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ใช้ค่ายกรมรบพิเศษที่ 5
- กองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) ตั้งอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ค่ายพ่อขุนผาเมือง
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4) รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายวชิราวุธจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีศูนย์บัญชาการส่วนหน้าอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหารจังหวัดปัตตานี เพื่อดูแลปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 5 (พล.ร.5) ดูแลพื้นที่ภาคใต้ตอนบน
- กองพลทหารราบที่ 15 (พล.ร.15) เดิมเป็นกองพลหนุน แต่จัดตั้งเป็นกองพลมาตรฐานหลังเกิดปัญหาความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เดิมใช้ชื่อว่ากองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากรแห่งชาติ
- หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.)
- กองพลรบพิเศษที่ 1 (พล.รพ.ศ. 1)
- กรมรบพิเศษที่ 2 (รพ.ศ. 2)
- หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.)
- กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.)
- ศูนย์ต่อสู้ป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก (ศปอ)
[แก้] ส่วนสนับสนุนการบ
- กองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ป.)
- กองพลทหารช่าง (พล.ช)
- กองพันทหารช่างที่ 51(ช.พัน.51)
- กรมทหารสื่อสารที่ 1(ส.1)
- กองพันบิน(พัน.บ.)
- (ขกท.)
- (พัน.ปฐบ.)
- (ร้อย.วศ.)
[แก้] ส่วนส่งกำลังบำรุง
มีจำนวน 9 กรม ดังนี้ [1]
- กรมการทหารช่าง (กช.)
- กรมการทหารสื่อสาร (สส.)
- กรมสรรพวุธทหารบก (สพ.ทบ.)
- กรมพลาธิการทหารบก (พธ.ทบ.)
- กรมแพทย์ทหารบก (พบ.)
- กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.)
- กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.)
- กรมการสัตว์ทหารบก (กส.ทบ.)
- กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก (วศ.ทบ.)
[แก้] ส่วนภูมิภาค
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)
- มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11)
- มณฑลทหารบกที่ 12 (มทบ.12)
- มณฑลทหารบกที่ 13 (มทบ.13)
- มณฑลทหารบกที่ 14 (มทบ.14)
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2)
- มณฑลทหารบกที่ 21 (มทบ.21)
- มณฑลทหารบกที่ 22] (มทบ.22)
- มณฑลทหารบกที่ 23] (มทบ.23)
- มณฑลทหารบกที่ 24] (มทบ.24)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3)
- มณฑลทหารบกที่ 31 (มทบ.31)
- มณฑลทหารบกที่ 32 (มทบ.32)
- มณฑลทหารบกที่ 33 (มทบ.33)
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4)
- มณฑลทหารบกที่ 41 (มทบ.41)
- มณฑลทหารบกที่ 42 (มทบ.42)
[แก้] ส่วนการศึกษา
- กรมยุทธศึกษาทหารบก (ยศ.ทบ.)
- โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (รร.จปร.)
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (วพม.)
- หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน
- โรงเรียนทหารปืนใหญ่
- ศูนย์การบินทหารบก (ศบบ.)
- ศูนย์สงครามพิเศษ (ศสพ.)
[แก้] ส่วนช่วยการพัฒนาประเทศ
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)
- กองพลพัฒนาที่ 1 (พล.พัฒนา 1)
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2)
- กองพลพัฒนาที่ 2 (พล.พัฒนา 2)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3)
- กองพลพัฒนาที่ 3 (พล.พัฒนา 3)
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4)
- กองพลพัฒนาที่ 4 (พล.พัฒนา 4)
[แก้] สื่อในความควบคุมของกองทัพบก
- สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.)
- สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (ให้เอกชนเช่าสัมปทาน)
- สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไทยโกลบอลเน็ตเวิร์ค (TGN)
- สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก เครือข่ายทั่วประเทศ 126 สถานี
[แก้] หน่วยทหารรักษาพระองค์
-
ดูบทความหลักที่ ทหารรักษาพระองค์
กิจการทหารรักษาพระองค์ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการทหารสมัยใหม่ทั้งของกองทัพบกไทยและของกองทัพไทย ดังปรากฏความสำคัญในเนื้อร้องเพลงมาร์ชราชวัลลภว่า “เราเป็นกองทหาร ประวัติการณ์ก่อเกิด กำเนิดกองทัพบกชาติไทย” ทั้งนี้ ก็เนื่องจากว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นั้น หากมีเทคโนโลยีและวิทยาการทางทหารสมัยใหม่ เช่น ปืนกล การทำแผนที่ ปืนใหญ่ ก็โปรดเกล้าฯ ให้ทหารกรมนี้ทำการทดลองและฝึกหัดก่อนเป็นกรมแรก จนเมื่อปรากฏผลดีแล้วจึงค่อยขยายงานออกไปเป็นหน่วยงานใหม่ต่อไป เหล่าทหารบกต่างๆ เช่น ทหารราบทหารม้าทหารช่าง เป็นต้น ก็ล้วนถือกำเนิดจากกิจการทหารรักษาพระองค์ทั้งสิ้น
สำหรับหน้าที่หลักของทหารรักษาพระองค์ นอกจากการเป็นกำลังรบของกองทัพเช่นเดียวกับหน่วยทหารอื่นๆ แล้ว ก็คือการถวายอารักขาและถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์โดยใกล้ชิด ซึ่งในปัจจุบันนี้ กองทัพบกไทยมีหน่วยทหารที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์รวม 59 หน่วย นับได้ว่าเป็นเหล่าทัพที่มีหน่วยทหารรักษาพระองค์มากที่สุดในประเทศ โดยมีหน่วยที่สำคัญดังนี้
[แก้] ศัพท์สงครามกองทัพบก
ทหารบกที่เข้าร่วมการรัฐประหารครั้งล่าสุดถือ ปลย. M16A2 เป็นอาวุธประจำกาย
หมายเหตุ : อธิบายคำย่อดังต่อไปนี้
- ปพ. = ปืนพก – หมายถึง ปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ ใช้เป็นอาวุธสำรองประจำกาย
- ปลย. = ปืนเล็กยาว – หมายถึง ปืนเล็กยาว (ไรเฟิล) จู่โจมใช้กระสุนปืนยาว (เช่น 5.56 มม. หรือ 7.62 มม.) มีความสามารถในการยิงอัตโนมัติ (ยิงรัว) และเป็นปืนประจำกายของทหารส่วนใหญ่
- ปลส. = ปืนเล็กสั้น – หมายถึง ปืนที่มีความสามารถในการยิงอัตโนมัติเหมือน ปลย. แต่มีขนาดเล็กกว่า
- ปลยบ. = ปืนเล็กยาวบรรจุเอง – หมายถึง ปืนเล็กยาวที่สามารถยิงได้ในโหมดกึ่งอัตโนมัติเท่านั้น ปัจจุบันเมื่อปลย.เข้ามาแทนที่ ก็ใช้เป็นอาวุธใช้ฝึกนศท.และทหารรักษาพระองค์
- ปกม. = ปืนกลมือ – หมายถึง ปืนเล็กยาวที่ใช้กระสุนปืนสั้น (เช่น 9 มม. หรือ .45 นิ้ว) และสามารถยิงอัตโนมัติได้
- ปกบ. = ปืนกลเบา – หมายถึง ปืนใช้กระสุนปลย. แต่สามารถยิงอัตโนมัติได้ด้วยอัตราการยิงสูงกว่า ปลย. ใช้เป็นอาวุธสนับสนุนแนวหลังหรือยานหุ้มเกราะ
- ปกน. = ปืนกลหนัก – หมายถึง ปืนกลที่ใช้กระสุนขนาดค่อนข้างใหญ่ (เช่น .50 นิ้ว Browning) เช่น มีอัตราในการยิงสูงมาก ไม่สามารถถือยิงได้ เพราะแรงถีบและน้ำหนักมาก ต้องมีขาทรายใช้ตั้งระหว่างการยิง
- ปลซ. = ปืนลูกซอง –
- ค. = เครื่องยิงลูกระเบิด – หมายถึง ปืนที่ใช้ยิงแคปซูล (เช่นขนาด 40 มม.) ติดหัวรบระเบิด, ระเบิดควัน, ระเบิดแก๊ส บางรุ่นสามารถใช้ติดใต้ประกับ ปลย. ได้
- คจตถ. = เครื่องยิงจรวดต่อต้านรถถัง
- ปรส. = ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง
- ถ.หลัก = รถถังหลัก
- ถ.เบา = รถถังเบา
- รสพ. = รถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ
- รพบ. = รถพยาบาล
- รนต. = รถยนต์นั่งตรวจการณ์
- ป. = ปืนใหญ่
- ปตอ. = ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
- จตอ. = จรวดต่อสู้อากาศยาน
- รยบ. = รถยนต์บรรทุก
[แก้] อาวุธประจำกาย
Origin | Small Arm | Type | Remark |
---|---|---|---|
ไทย | ปลย.11 | ปลย. | ปืนหลักใช้ในการรักษาการณ์ กรมสรรพวุธทหารบก ซื้อลิขสิขธิ์ของ HK33 มาผลิตเอง |
เยอรมนี | Heckler & Koch HK33/A1/K | ปลย. | ปืนรองในอัตรา ใช้ฝึกนักศึกษาวิชาทหารที่ค่ายเขาชนไก่ บางส่วนมอบให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ใช้เป็นอาวุธประจำกาย |
เยอรมนี | Heckler & Koch G36,G36k | ปลย. | ปืนใหม่ ใช้ในกองกำลังที่ปฏิบัติการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหน่วยรบพิเศษต่างๆ |
ออสเตรีย | Steyr AUG | ปลย. | ปืนรองในอัตรา เป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติแบบ Bullpup (ซองกระสุนด้านหลังชุดลั่นไก) จากออสเตรีย มีใช้ค่อนข้างน้อย พบประจำการในหน่วยรบพิเศษ |
สหรัฐอเมริกา | M653 | ปลย. | เป็น M16A1 เวอร์ชันสั้น โดยการนำปืน M16A1 ที่ลำกล้องหมดอายุใช้งานนำมาตัดลำกล้องสั้นให้สั้นลง เปลี่ยนประกับเป็นแบบสั้น มีลำกล่อง 2 แบบคือ 14.5 นิ้วและ 11 นิ้ว |
สหรัฐอเมริกา | M16A1/A2 | ปลย. | ปืนหลักในอัตรา M16A1 กำลังถูกแทนที่ด้วย TAR-21 |
สหรัฐอเมริกา | M16A4 | ปลย. | ปืนใหม่ส่งซื้อ 20,031 กระบอกเพียงล็อตเดียว M16A4 ซึ่งเป็น M16 รุ่นล่าสุด สามารถถอดด้ามจับเพื่อติดอุปกรณ์ช่วยเล็งบนรางได้ |
สหรัฐอเมริกา | M1 Garand | ปลย. | อาวุธของทหารรักษาพระองค์และใช้ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร |
สหภาพโซเวียต | AK-47/AKS | ปลย. | อาวุธของทหารพราน ส่วนใหญ่ยึดได้มาจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ในสงครามเวียดนามส่วนAKSคือรุ่นที่พับพานท้ายได้ของAK-47 กำลังเปลียนไปเป็น M16a1 หลัง ทหารหลังรับ TAR 21 เข้าประจำกาย |
อิสราเอล | IMI Galil | ปลย. | พบในหน่วยรบพิเศษ จำนวนน้อยมาก |
สิงคโปร์ | SAR-21 | ปลย. | เป็นปืนไรเฟิลแบบ Bullpup พบประจำการในหน่วยรบพิเศษ |
อิสราเอล | IMI Tavor TAR-21 (ปลย.50) | ปลย. | ปลย.หลักใหม่ สั่งซื้อมาจำนวน 4 ล็อตกำลังได้รับมอบ รวมทั้ง 4 ล็อต 58,206 กระบอก เป็นปืนแบบ Bullpup ในวันที่ 15 ก.ย. 52 สั่งเพิ่ม 14,868 กระบอก |
เยอรมนี | Heckler & Koch MP5 | ปกม. | ปืนกลมือใช้กระสุน 9×19 มม |
เยอรมนี | MG3 | ปกบ. | มีใช้ในรถเกราะ V-150 |
สหรัฐอเมริกา | M60 machine gun | ปกบ. | |
อิสราเอล | UZI | ปกม. | |
เบลเยียม | FN P90 | ปกม. | ปืนกลมือจากเบลเยี่ยม ใช้ในหน่วยรบพิเศษต่างๆของกองทัพไทย |
เยอรมนี | Heckler & Koch HK21 | ปกบ. | |
เบลเยียม | FN MINIMI | ปกบ. | |
เบลเยียม | FN MAG-58 | ปกบ. | |
เบลเยียม, สหรัฐอเมริกา | M249 | ปกบ. | |
อิสราเอล | IMI Negev | ปกบ. | สั่งซื้อจำนวน 1,500 กระบอก กำลังได้รับมอบ |
สิงคโปร์ | Ultimax 100 | ปกบ. | |
สหรัฐอเมริกา | M4A1 Carbine | ปลส. | เป็นปืน M16A3/A4 เวอร์ชันลำกล้อง 14.5 นิ้ว ใช้ในหน่วยรบพิเศษและกองกำลังที่อยู่ในย่านกรุงเทพและปริมณฑล |
สหรัฐอเมริกา | M4A1 Sopmod | ปลส. | เป็นปืน M4A1 รุ่นแต่งครบ มีอุปกรณ์จำเป็นในการรบเช่นกล้อง AGOC 4x ปรกับหน้า RAS เลเซือรุ่น AN/PEQ-2 ไฟฉายทางยุทวิธี กริปมือหน้า |
สหรัฐอเมริกา | M1 carbine | ปลส. | ใช้ฝึกนักศึกษาวิชาทหาร |
สหรัฐอเมริกา | 93 (ฺFN Browning M2HB) | ปกน. | ได้เข้าประจำการในราชการกองทัพไทยเมื่อปี พ.ศ. 2493 โดยความช่วยเหลือจากองค์การบริหารวิเทศกิจแห่งสหรัฐ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยประจำการในชื่อทางราชการว่า ปืนกล แบบ 93 หรือ ปก. 93 โดยจัดเป็นอาวุธระดับหมวด |
สหรัฐอเมริกา | Remington 870 | ปลซ. | |
อิตาลี | Franchi SPAS-12 | ปลซ. | |
ออสเตรีย | Glock 17 | ปพ. | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด 9×19 มม. |
ออสเตรีย | Glock 23 | ปพ. | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด .40 S&W |
เยอรมนี | Heckler & Koch USP | ปพ. | ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ใช้กระสุนขนาด .45 ACP พบประจำการในหน่วยรบพิเศษ |
สหรัฐอเมริกา | M1911A1 | ปพ. | |
ไทย | ปพ.86,ปพ.95 | ปพ. | พัฒนาจากปืนพกกึ่งอัตโนมัติ M1911 ขนาด .45 ACP ของกองทัพสหรัฐ |
สหภาพโซเวียต | RPG-2 | คจตถ. | อาวุธหลักของทหารพราน |
สหภาพโซเวียต | RPG-7 | คจตถ. | อาวุธหลักของทหารพราน |
สหรัฐอเมริกา | M203 | ค. | เครื่องยิงลูกระเบิดที่สามารถติดใต้ประกับปืน M16 และ M4 ได้ทุกรุ่น |
สหรัฐอเมริกา | M79 | ค. | |
สหรัฐอเมริกา | Mk 19 | ค. | |
สหรัฐอเมริกา | M72 LAW | คจตถ. | |
สหรัฐอเมริกา | M47 Dragon | คจตถ. | |
สวีเดน | Carl Gustav recoilless rifle | ปรส. | ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง ขนาด 84 มม. ผลิตโดยบริษัท Saab Bofors Dynamics ประเทศสวีเดน |
รัสเซีย | 9K38 Igla | จตอ. | 36 อยู่ในการสั่งซื้อ. |
[แก้] อาวุธหลัก
Country | Type | Quantity | Remark |
รถถังหลัก | |||
สหรัฐอเมริกา | M60A3 Patton | 178 | มือสองจากกองทัพบกสหรัฐ ประจำการในกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2รอ.) |
สหรัฐอเมริกา | M48A5 Patton | 105 | ประจำการในกองพันทหารม้าที่ขึ้นตรงต่อกองพลทหารราบ (พล.ร.2รอ.และ พล.ร.6) |
จีน | Type 69-II | 98 | จัดหาราคาพิเศษจากจีน ประจำการในศูนย์การทหารม้า หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือได้ขอยืมไปใช้บางส่วน |
รถถัง | |||
สหรัฐอเมริกา | Stingray | 106 | ไทยเป็นผู้ใช้รายเดียวในโลก ประจำการในกองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) |
สหรัฐอเมริกา | M41 Walker Bulldog | 200 | ประจำการในกองพันทหารม้าที่ขึ้นตรงต่อกองพลทหารราบ (พล.1รอ. พล.ร.3 พล.ร.4 พล.ร.5) มีอายุกว่า 50 ปี กองทัพเตรียมที่จะปลดประจำการ |
สหราชอาณาจักร | FV101 Scorpion | 154 | กำลังเข้ารับการปรับปรุง ใช้การไม่ได้1คันเนื่องจากขาดการปรับปรุงและซ่อมแซม ส่วนมากประจำการในกองร้อยทหารม้าลาดตระเวณในหน่วยทหารต่างๆ |
รถเกราะ | |||
ยูเครน | BTR-3E1 | 96 | |
สหรัฐอเมริกา | M901A3 Improved TOW Vehicle | 11 | ติดจรวดต่อสู้รถถัง TOW |
สหรัฐอเมริกา | V-150 | 162 | ประจำการในกรมทหารม้าที่ 2(ม.2) กองพลทหารม้าที่ 1(พล.ม.1) |
สหรัฐอเมริกา | M113A1/A3 APC | 340+ | ประจำการในกรมทหารม้าที่ 3 (ม.3) และกรมทหารม้าที่ 6 (ม.6) กองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) |
เยอรมนี | Rasit | 41 | |
แอฟริกาใต้ | REVA 4×4 | 85 | กำลังรับมอบ (เสียหายจากฝังระเบิดแสวงเครื่องใต้ถนน – 1 คัน) |
จีน | Type 85 (YW531H) | 450 | ส่วนใหญ่ประจำการในกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์(พล.ม.2รอ.) มีบางส่วนประจำการในกรมทหารม้าที่ 6 (ม.6) กองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) |
สหราชอาณาจักร | Alvis Saracen | ? | |
ปืนใหญ่ | |||
ออสเตรีย | ปืนใหญ่ลากจูง GHN-45 155 มม. | 42 | |
อิสราเอล | ปืนใหญ่ลากจูง Soltam M-71 ขนาด 155 มม. | 32 | |
สหรัฐอเมริกา | ปืนใหญ่ลากจูง M198 ขนาด 155 มม. | 62 | |
สหรัฐอเมริกา | ปืนใหญ่อัตตาจร M109A5 ขนาด 155 มม. | 20 | |
ฝรั่งเศส | ปืนใหญ่อัตตาจร CAESAR ขนาด 155 มม. | 6 | รับมอบแล้ว |
สหรัฐอเมริกา | ปืนใหญ่ลากจูง M114 ขนาด 155 มม. | 56 | |
จีน | จรวดหลายลำกล้อง Type 82 ขนาด 130 มม. | 60 | |
จีน | ปืนใหญ่ลากจูง M1954 ขนาด 130 มม. | 15 | |
สหราชอาณาจักร | ปืนใหญ่ลากจูง L119 105 มม. | 34 | |
ฝรั่งเศส | ปืนใหญ่ลากจูง GIATLG1 Mk II ขนาด 105 มม. | 24 | |
สหรัฐอเมริกา | ปืนใหญ่ลากจูง M101 ขนาด 105 มม. | 285 | |
สหรัฐอเมริกา | ปืนใหญ่ลากจูง M102 ขนาด 105 มม. | 12 | |
ไทย | ปืนใหญ่ลากจูง M618A2 ขนาด 105 มม. | 32 | |
ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน | |||
สวีเดน | Bofors L40/70 ขนาด 40 มม. | 48 | |
จีน | Type 59 ขนาด 57 มม. | 24 | |
จีน | Type 74 ลำกล้องคู่ขนาด 37 มม. | 122 | |
สหรัฐอเมริกา | M163 VADS แท่นหมุน 20 มม. | 24 | |
สหรัฐอเมริกา | M167 VADS แท่นหมุน 20 มม. | 24 | |
สหรัฐอเมริกา | M167 Vulcan | ? | |
จรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยาน | |||
อิตาลี | ASPIDE | 1 | ประจำการที่ ปตอ.พัน.๗ |
[แก้] อากาศยาน
Origin | Type | Quantity | Remark |
---|---|---|---|
เยอรมนี | British Aerospace Jetstream 41 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สหรัฐอเมริกา | Beechcraft 200 King Air | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สหรัฐอเมริกา | Beech 1900C-1 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สเปน | Casa 212-300 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
บราซิล | Embraer ERJ-135 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญและส่งกลับสายการแพทย์ |
สหรัฐอเมริกา | Bell 206 Jet Ranger | 25 | ธุรการ |
สหรัฐอเมริกา | เบลล์ ยูเอช-1เอช | 92 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
สหรัฐอเมริกา | เบลล์ เอเอช-1เอฟ ฮิวอี้ คอบรา | 3 | โจมตี, กำลังสั่งซื้ออีก 7 ลำ |
สหรัฐอเมริกา | ซิคอร์สกี้ เอส-70-43 แบล็คฮอร์ก ยูเอช-60แอล อัพเกรตเป็น ยูเอช-60เอ็ม แล้วทั้งหมด | 10 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
เยอรมนี | Schweizer S-300C | ~45 | ฝึก/ลาดตระเวน |
สหรัฐอเมริกา | Cessna U-17B | 20 | ธุรการ |
สหรัฐอเมริกา | Cessna T-41B | 30 | ฝึก/ธุรการ |
สหรัฐอเมริกา | Maule MX-7 | 15 | ธุรการ |
สหรัฐอเมริกา | Bell 212 | 60 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
สหรัฐอเมริกา | โบอิง ซีเอช-47 ชีนุก | 6 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
อิสราเอล | IAI Searcher | 4 | อากาศยานไร้นักบิน |
[แก้] ข่าวการจัดหาอาวุธของกองทัพบก
[แก้] อาวุธประจำกาย
- ปืนเล็ก, ปืนกล, และจรวดแบบใหม่ – กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,000 กระบอก และปืนเล็กกล Negev จากอิสราเอลจำนวน 992 กระบอก มูลค่ารวม 43.3 ล้านเหรียญสหรัฐ [2]
ในวันที่ 9 ก.ย. 2551, คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,037 กระบอก และปืนกลเบา Nagev จากอิสราเอลจำนวน 553 กระบอก ซึ่งเป็นการจัดหาในล็อตที่สอง นอกจากนี้ยังอนุมัติให้จัดหาจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่ารุ่น Igla จำนวน 36 หน่วยจากรัสเซียอีกด้วย[3] ทั้งนี้ ทบ.สั่งซื้อ TAR-21 Tavor ล็อตสามรวม 13,868 กระบอก[4] ในวันที่ 15 ก.ย. 52 ล็อตที่4 ในเดือนเดียวกัน 22 ก.ย. 52 อีก 14,264 กระบอก รวมทั้งหมด 58,206 กระบอก ทบมีความต้องการ ปลย. รุ้นใหม่เพื่อมาทดแทน M16A1 ที่ใช้งานมากว่า 40 ปี ทั้งหมด 106,205 กระบอก
[แก้] ยุทธยานยนต์
- การจัดหารถเกราะล้อยางจากยูเครน – กองทัพบกประกาศจัดซื้อรถเกราะล้อยางซึ่งยังขาดแคลน โดยได้เลือกรถเกราะรุ่น BTR-3E1 จากประเทศยูเครนพร้อมอาวุธ จำนวน 96 คัน ในราคา 4,000 ล้านบาท [5] แต่เกิดข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับความโปร่งใสของกระบวนการการจัดหา จนรัฐมนตรีกลาโหมต้องประกาศพักโครงการและรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ [6] จนในที่สุดนายสมัคร สุนทรเวชก็ลงนามอนุมัติการจัดหา ซื้อกองทัพบกจะได้รับมอบในปี 2552 แต่เนื่องจากมีปัญหาด้านการจัดหาเครื่องยนต์ ทำให้การจัดส่งล่าช้าและจะได้รับรับในปี 2553 [7]
[แก้] อากาศยานทหารบก
- เครื่องบินลำเลียงบุคคลสำคัญและส่งกลับสายการแพทย์ – กองทัพบกและกองทัพเรือร่วมกันลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 จากบริษัท Embraer ประเทศบราซิล จำนวน 2 ลำ เหล่าทัพละ 1 ลำ โดยกองทัพบกและกองทัพเรือจะนำไปใช้ในในสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ สำหรับเครื่องของกองทัพเรือยังเพิ่มความสามารถในการขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ MEDEVAC ได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารเรือในสามจังหวัดชายแดนใต้ [8]
วันที่ 12 มกราคม 2552 กองทัพบกได้ลงนามจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 เพิ่มเติมอีก 1 ลำเพื่อใช้ในการสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ รวมถึงขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ (MEDEVAC) [9]
- การจัดหาเฮลิคอปแบล็คฮอก – ในวันที่ 6 สิงหาคม สำนักงานความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงของสหรัฐได้รายงานต่อสภาคองเกรสว่ากองทัพบกไทยได้จัดหา UH-60L Black Hawk เพิ่มเติมอีก 3 ลำ[10]
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] การทหารในประเทศไทย
- กองทัพไทย
- กระทรวงกลาโหม
- กองบัญชาการทหารสูงสุด
- กองทัพเรือไทย
- กองทัพอากาศไทย
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
[แก้] ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับกองทัพบกไทย
- รายนามผู้บัญชาการทหารบก
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 1
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 2
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 3
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 4